วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันที่ 2 เที่ยวสวนสัตว์เมือง Surabaya เดินทางไปเมือง Probolinggo และ Cemoro Lawang

ตื่นเช้าขึ้นมาวันใหม่ตื่น 6 โมงเช้าแต่ที่นี่สว่างไวมาก อย่างกับ 8 โมงเช้า กินอาหารเช้า เอาคูปองที่พนักงานให้ตั้งแต่เมื่อคืนไปกินอาหารเช้าที่ร้านอาหารด้านล่างของโรงแรมหลังล็อบบี้ อาหารมีให้เลือกไม่กี่อย่าง มีข้าวสวยและกับข้าวทำจากเนื้อวัว ใส่วุ้นเส้น (แปลกๆและกลิ่นค่อนข้างคาวมาก) เมาะณีกับบังเละกินอย่างเอร็ดอร่อยเพราะเขาอิสลามกินเนื้อวัวเป็นประจำอยู่แล้ว แต่หลวงไข่กินต้มวัวนั้นไปคำหนึ่งถึงกับถอย เลยได้กินแต่ข้าวต้มไก่ที่เรียกว่า Burbu Ayam ไป 3 ถ้วยใหญ่ กับไข่ไก่ต้ม ก็พอประทังหิวมื้อเช้า ป้าอ้อยกินเจ เพราะอยู่ในช่วงกินเจพอดี ก็กินได้แต่ไข่กับ ขนมปัง แยม กาแฟ ที่รสชาติเหมือโอเลี้ยง เรียกว่า โกปี (Kopi)

เสร็จแล้วก็เก็บกระเป๋า เช็คเอาท์จากโรงแรมตอนเช้า กะว่าจะไปเยี่ยมชมสวนสัตว์สุราบายาไปดูมังกรโคโมโดซะหน่อยก่อนจะไปโบรโม่ เพราะจะได้ไม่ต้องไปถึงเกาะโคโมโด ที่จังหวัดนูซาเต็งการา ของอินโดนีเซีย ถามพนักงานรีเซ็ปชั่น ได้คำตอบว่าถนน Jalan Mayjen Sungkono ไม่มีรถโดยสารประจำทางวิ่งผ่านครับ ก็เลยต้องนั่งแท็กซี่ไป พนักงงานเบลบอยโรงแรมเรียกแท็กซี่ที่รอสแตนบายอยู่ด้านนอกมารรับพวกเรา โหลดกระเป๋าสัมภาระไว้ด้านหลัง ขึ้นรถ มิเตอร์แท็กซี่เริ่มที่ 6,000 Rp ครับผม

นั่งแท็กซี่ประมาณ 20 นาทีก็ถึงสวนสัตว์สุราบายาครับ ค่าแท็กซี่ขึ้นมิเตอร์ที่ 44,000 Rp ลงจากรถแล้วก็ไปซื้อตั๋วค่าเข้าสวนสัตว์สุราบายา (ภาษาอินโดนีเซียเรียกว่า Kebun Binatang Surabaya : เคอบุน บินาตัง สุราบายา) ตั๋วราคาคนละ 15,000 Rp สวนสัตว์ตั้งอยู่ที่โวน็อกโรโม่ (Wonokromo) นะครับ อยู่แถบๆชานเมืองนิดๆ แต่ยังอยู่ในเขตเมืองครับ

รูปนี้เป็นรูปปั้นช้างน้อยหน้าสวนสัตว์ ที่เบื้องหลังเป็นอนุสาวรีย์เป็นฉลามกับจระเข้ เพราะสุรา ภาษาพื้นเมืองของชวา สุราแปลว่าฉลาม บายา แปลว่าจระเข้ครับ

ถ่ายรูปนอกสวนสัตว์จนพอใจแล้วก็เข้าไปในสวนสัตว์ครับ เจ้าหน้าที่บอกให้เราลากกระเป๋า เพราะแต่ละคนแบกเป้กันหลังแอ่น ตอนแรกนึกว่าฝากฟรี ที่แท้ก็เสียตังค์ครับ ค่าฝาก 5,000 Rp คุณลุงเจ้าหน้าที่สวนสัตว์เห็นกะเหรียงสี่คนจากไทยแลนด์เดินดุ่มๆแบบไม่รู้จะเริ่มต้นจากจุดไหนเพราะสวนสัตว์ค่อนข้างใหญ่ แกเลยเอาแผนที่สวนสัตว์มาอธิบายให้เราดูครับ ใจดีจังเลย

จากจุดเริ่มต้นทีพวกเรายืนอยู่จะได้ยินเสียงร้องดังมากตลอดเวลาของเจ้าลิงตัวสีดำที่แอบอยู่ในรูป ครับ ถ่ายไม่ค่อยเห็นเพราะมันอยู่ไกลแต่ได้ยินเสียงหนวกหูเชียวครับ

ประทับใจเจ้าอูฐพวกนี้จัง มันดูสูงใหญ่สง่างามน่าเกรงขามดี สูงกว่าคนซะอีกเพิ่งเคยเห็นอูฐตัวเป็นๆเลยนะเนี่ย คงไม่ต้องไปเที่ยวดูไบแล้วมั้ง เมาะณีเขาซื้อถั่วลิสงที่ชาวบ้านเอามาขายผูกเป็นช่อที่หน้าสวนสัตว์ ช่อละ 5,000 Rp มาแจกเจ้าอูฐด้วย แต่พอมันอ้าปากรับ เมาะณีของเราก็กลัวครับวิ่งหนี ก็เลยต้องเป็นหน้าที่หลวงไข่ช่วยป้อนให้มัน (ที่จริงก็กลัวเหมือนกันครับ แต่ทำใจดีสู้อูฐครับ อิๆๆๆๆ)

หนูยักษ์หรือตัวอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีป้ายบอก หรือเรามองไม่เห็นป้ายกันก็ไม่รู้ ใครไปทีหลังช่วยบอกหน่อยว่าสัตว์ชนิดนี้มันคืออะไรกันแน่ครับ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

อันนี้เสือสุมาตราครับ ท่าทางดุมากๆ ถึงขนากั้นกรงสองชั้นไม่ให้เข้าไปใกล้มันเลย

เจ้าหมีดำ นอนอยู่ พอเห็นพวกเรามามันก็ออกมาหา สงสัยคงจะหิว พวกเราเลยโยนถั่วลิสงให้กันกิน ที่จริงมันมีมากกว่า 1 ตัวนะครับ แต่ถ่ายมาแค่ตัวเดียว

พอมันกินหมด ก็ทำท่าทางจะขออีก น่ารักเชียว แต่ถั่วหมดแล้วครับ เพราะคนกิน กับให้อูฐก่อนหน้านี้แล้วด้วย หมีก็เลยอดกินไปตามระเบียบครับ

อีกมุมหนึ่งเป็นบ้านลิง มีลิงอยู่เต็มไปหมดเลย ท่าทางคงจะมีความสุขกันนะ กับเครื่องเล่นหลากหลายชนิดที่ทางสวนสัตว์จัดไว้ให้พวกมัน

และแล้วก็มาถึงสิ่งที่เราต้องการจะมาดูครับ เจ้ามังกรโคโมโด แห่งโคโมโดไอส์แลนด์ที่นูซาเต็งการา แต่เรามาดูมันที่สุราบายา อิๆๆๆ มีหลายตัวมากๆ แต่ตัวไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่

แบร่..!!! ได้ช็อดเด็ดครับ มันแลบลิ้นด้วย น่ากลัว ลิ้นยาวมั่กๆ ว่ากันว่าน้ำลายมันมีเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียมหาศาลเพราะชอบกินซากสัตว์ที่ตายแล้ว ถ้าโดนมันกัดแผลก็จะเน่าอย่างรวดเร็วครับ

ภาพนี้บังเละเขาต้องการโปรโมตครับ มันคล้ายๆกับสัตว์ชนิดหนึ่งในบ้านเรา แต่ไม่บอกดีกว่าครับ ดูปากบังเละเอานะครับ ตู๊ด...เซ็นเซอร์ครับ แหะๆๆๆ อ้าวถั่วยังไม่หมดหรอกเหรอ เหลือแต่ก้าน

อีกมุมหนึ่งก่อนทางออกเราก็มาเจอรูปปั้นเจ้าโคโมโดตัวนี้ ก็เลยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกครับ ว้า...เสียดายจังยังมีสัตว์อีกตั้งเยอะที่ไม่ได้ดู ทั้งม้าลาย เสือสิงกระทิงแรด (อันหลังเป็นคำอุทนเสริมบทครับ กระทิงไม่น่ามีแรด ไม่แน่ใจ) แต่พวกเราต้องรีบครับ เพราะจะเที่ยงแล้ว เดี๋ยวหารถที่จะไปโบรโม่ (Bromo) จากโพรโบลิงโก (Probolinggo) ลำบาก

ออกจากสวนสัตว์ ถามเจ้าหน้าที่ว่าไปสถานีขนส่งเมืองสุราบายาอย่างไร เขาก็ให้ข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามสวนสัตว์เพื่อจะรอรถบัส สายอะไรก็ได้ที่ส่วนใหญ่จะผ่านเข้าไปขนส่งอยู่อแล้วครับ วิวนี้ถ่ายจากบนสะพานลอยที่ข้ามมาจากสวนสัตว์ครับ

สักพักมีรถบัสเก่า (มั่กๆ) วิ่งผ่านมา ตะโกนถามพวกเรา "Purabaya Purabaya" ซึ่งเขาหมายถึง ท่ารถปุราบายานั่นเองครับ เราเลยย้ำอีกทีเพื่อความแน่ใน ว่าใช่ Terminal Purabaya ใช่มั้ย กระเป๋ารถบัสตอบใช่เราเลยขึ้นรถบัสไป นั่งไปประมาณค่อนทางมีวัยรุ่นขึ้นมาร้องเพลงหาตังค์บนรถบัสครับ สักพักพวกเขาก็ลงไป แต่รถบัสวิ่งไปสักพัก ก็มีอีกพวกหนึ่งขึ้นมาร้องเพลงขอตังค์แบบนี้อีก แต่คนอินโดบนรถบัสนี้เขาก็ให้นะ แต่เป็นเศษเหรียญ พวกเราก็มีเหรีญเพียบครับ เลยใหไปด้วย เพลงอินโด ฟังไม่รู้เรื่องหรอก อ้อ! ลืมบอกไป ค่าโดยสารรถนี้พวกเราจ่ายคนละ 4,000 Rp ครับ ลุงข้างๆ ที่นั่งมาด้วยกันบอกว่าที่จริงคนละ 3,000 Rp ตลอดสาย แต่เราดันไปถามเขาว่าคนละเท่าไหร่ เขาเลยบอกคนละ 4,000 Rp ข้อหาเป็นคนต่างถิ่นครับ (ไม่น่าไปถามเลย แต่ถ้าไม่ถามเราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเท่าไหร่) แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่ 4 บาทให้เขาไปเหอะถ้าเขาอยากได้

นั่งมาประมาณ 10 กิโลเห็นจะได้ ก็ถึงเทอร์มินอลปุราบายา ครับ พวกเราเข้าไปด้านใน ตอนแรกงงๆ ไม่รู้จะซื้อตั๋วรถไปโพรโบลิงโกตรงไหนไม่มีป้ายบอกเลย เพิ่งมาถึงบางอ้อครับ (พอดีเป็คนช่างสังเกต ครับ ฮ่าๆๆ) จะต้องซื้อตั๋วค่าเข้าไปข้างในขนส่งก่อนครับ คนละ 200 Rp (สองร้อยรูเปียห์ จริงๆ ไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ เงินไทยก็คร่าวๆ 1 บาท) แล้วจะต้องเดินเข้าไป เข้าไปข้างในก็งงอีก อุตส่าห์ไปยืนดูป้ายนี้ที่แสดงเวลารถอยู่ตั้งนาน แต่ก็ยังไม่เข้าใจ เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่

ถามเขาว่าไป Probolinggo คันไหน เขาก็ชี้มาที่คันนี้ครับ พวกเราเลยเชื่อฟังอย่างง่ายดาย (สิ่งระทึกกำลังจะเกิดขึ้นครับ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ถ้าบอกก่อนเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น)

รถบัสที่เราจะไป Probolinggo มองจากด้านข้างเป็นแบบนี้นะครับ เป็นของบริษัท TJIPTO ครับ

สภาพภายในรถดูดีกว่ารถบัสที่นั่งมาจากสวนสัตว์นิดหนึ่งเพราะเป็นรถปรับอากาศ แต่ขอบอกว่าร้อนมากๆๆๆๆ แอร์ไม่เย็นเลยสักนิด ขึ้นมาสักพัก ก็มีคนมาขายของทุกอย่างตั้งแต่ของกินยันของเด็กเล่น พ่อหนุ่มคนนี้เอาขนมมาขาย ไม่รู้ขนมอะไรห่อกระดาษเป็นวงกลมแบนๆคล้ายเหรียญ รสชาติเหมือนขนมบ้าบิ่น เราเลยซื้อไว้ถุงหนึ่ง 20,000 Rp ครับ กินแก้หิวระหว่างทาง

รถออกไปประมาณ 15 นาที กระเป๋ารถเมล์ก็เก็บตังค์ผู้โดยสารครับ ค่าตั๋วคนละ 23,000 Rp ครับ นั่งประมาณ 3 ชั่วโมง ร้อนมาก รถติด ตอนแรกเข้าใจและจินตนาการเอาว่าถนนระหว่างสุราบายไปโพรโบลิงโกจะผ่านบริเวณที่เป็นทุ่งนา แต่ที่ไหนได้ ตลอดสองข้างทางมีแต่บ้านเรือนผู้คนเต็มไปหมด มีผ่านทุ่งนาน้อยมาก ประชากรเกาะชวานี้เชื่อแล้วว่าเยอะจริงๆครับ นั่งในรถก็มีลุงใจดีชวนคุย แต่คุยเป็นภาษาอินโด เมาะณีก็คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง มาช่วยแปลให้เราฟัง พอมีคนมาขายของ ลุงแกซื้อ หนังวัวทอด หน้าตาคล้ายๆแคปหมูบ้านเรา แต่แผ่นใหญ่กว่า เรียกว่า Kulit Sapi แกแบ่งให้พวกเราชิม กัดเข้าไปคำเดียวถอยครับ คาวสุดๆ ทีนี้เมาะณีกับบังเละยังถอยครับ เพราะว่ามันคาวชวนอ๊วกมากๆ ทำไมวัวประเทศนี้มันคาวจังวะ (อ๋อ ก็คาวแปว่าวัวไงภาษาอังกฤษ อิๆๆ นอกเรื่อง) ส่งกันไปส่งกันมาไม่มีใครอยากกิน รับของเขามาแล้ว เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาท หลวงไข่ขอเสียสละครับ กินไปพะอืดพะอมไปน้ำตามันพาลจะไหล บังเละนั่งใกล้ให้กำลังใจสุดๆ (น่าถีบล่ะไม่ว่า ไม่ช่วยกันเลย) อย่าได้ซื้อกินเชียวครับแคปวัวเนี่ย กินไม่ลงจริงๆ แต่ลุงแกคงชอบกินนะ เพราะที่เหลือแกกินแป๊บเดียวหมดถุง
นั่งคุยกับลุงมาเรื่อยๆ ตลอดทั้ง 3 ชั่วโมงรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง (แต่ส่วนใหญ่จะไม่รู้เรื่อง 555+++) กระเป๋ารถเมล์ก็บอกให้เราลงบอกว่าถึง Probolinggo แล้วบอกให้พวกเราลง เราก็ลงเพราะคิดว่าถึงแล้วจริงๆ แต่หารู้ไม่ว่าไอ้กระเป๋ารถเมล์ตัวดี มันปล่อยเราลงข้างทางตรงเอเยนต์ที่ขายทัวร์ไปโบรโม่ ลงรถเสร็จก็งงๆ เพราะมันไม่ได้มีลักษณะเป็น เทอร์มินอลหรือท่ารถเลยสักนิดครับ แล้วมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากบริษัททัวร์ เดินมาหาเรา แล้วไอ้กระเป๋ารถเมล์ก็ทำท่ากระซิบกับเด็กคนนั้น พวกเรารู้ทันทีว่าโดนปล่อยเกาะให้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่มีทางปฏิเสธได้แล้ว

ตอนแรกพวกเราต้องการจะลงที่ขนส่งที่เมือง Probolinggo ที่ชื่อ เทอร์มินอล บายูอังกา (Terminal Bayuangga) แล้วจะต่อรถบัสอีกสายจากเทอร์มินอลนี้ไปเจโมโร่ ลาวัง (Cemoro Lawang) แล้วจะไปเดินหาที่พักเอาที่นั้น แต่ดันมาโดนปล่อยกลางทางให้ซื้อทัวร์นึกแล้วมัน่าเจ็บใจจริงๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรตามแผนที่ตั้งใจไว้

เด็กหนุ่มคนนั้นหว่านล้อมเราบอกให้ซื้อทัวร์กับเขา บอกว่ารถหมดแล้ว ไม่มีแล้วต้องไปกับรถส่วนตัวเท่านั้น เราไม่เชื่อหรอก แต่ทำไงได้ ไม่รู้มันปล่อยเราลงตรงไหนของประเทศมัน เลวจริงๆ ไอ้กระเป๋ารถเมล์ตัแสบนั่น (อันที่จริงเพิ่งมาเห็นตอนขากลับว่าเทอร์มินอลอยู่ห่างออกไปจากที่ไอ้กระเป๋ารถมันหลอกให้เราลงอีกประมาณ 300 เมตรครับ) ทั้งๆที่ไม่พอใจแต่ก็ต้องทำใจ เพราะไม่มีทางเลือก คงทำกันเป็นกระบวนการมานานแล้ว เจ้าของบริษัทัวร์ถามเราว่าจะไปไหนต่อหลังจากโบรโม่เราบอกจะไปย็อกยาการ์ตา มันบอกว่ามีรถทรานส์เฟอร์ราคาพิเศษ เราไม่เอาอะไรทั้งนั้นเพราะโมโห มันก็คงดูออกว่าเราไม่พอใจ เลยตกลงราคารถกับโรงแรมที่มันขายรวมแพคเกจกันดังนี้

ค่ารถทรานส์เฟอร์จากโพรโบลิงโก(บริษัทของมัน) ไปโรงแรม เจมาร่า อินด๊ะ (Cemara Indah) ที่เจโมโร่ ลาวัง (Cemoro Lawang) คนละ 50,000 Rp ค่าโรงแรม Cemara Indah รวมอาหารเช้า ห้องละ 350,000 Rp เป็นห้องStandard Room (ตกคนละ 175,000 Rp) ค่ารถจี๊ปพาชมจุดชมวิวเปอนันจากัน (Gunung Penanjakan) และ ภูเขาไฟโบรโม่ (Gunung Bromo) คนละ 90,000 Rp ค่ารถกลับจาก โรงแรมที่เจโมโร่ลาวังกลับสถานีรถไฟเมืองโพรโบลิงโกอีกคนละ 50,000 Rp เบ็ดเสร็จเราต้องจ่ายค่าทริปนี้คนละ 365,000 Rp คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,600 บาท แพงใจหาย นึกเสียดายตังค์ตะหงิดๆ แต่ช่างเหอะ เราไม่มีทางเลือกแล้ว ซื้อทัวร์กับมัน มันเลยให้ใบเสร็จรับเงินมาดังภาพ กะแฉเต็มที่ โมโหจริงๆ

จ่ายตังค์เสร็จแล้ว เจ้าของบริษัทมันคงเกลียดขี้หน้าพวกเราเต็มทนที่ไม่เอาอะไรเลยที่มันนำเสนอเลย มันก็เรียกรถคล้ายๆรถตู้แบบเก่าๆมา พาเราไปส่งที่โรงแรมที่เจโมโร่ลาวัง ได้นั่งรถไพรเวทครับ มีแค่เรา คนขับพาเราออกจากที่นั่นทันที พี่แกขับรถซิ่งน่าดู ลุ้นระทึกไปตลอดทาง จากอากาศที่ร้อนและโมโหคนประเทศนี้ พอรถเริ่มเข้าเขตภูเขาอากาศเริ่มเย็นลง ใจคนเราก็เริ่มเย็นลง จากสภาวะตึงเครียด ลืมเรื่องราวแย่ๆไปยิ้มได้อีกครั้ง คิดเสียว่ามาเที่ยว ยังไงก็ต้องใช้ตังค์ ถึงแพงหน่อยก็ช่างมันครับถือว่ามันคิดค่าอำนวยความสะดวกให้เราละกันครับ

ทิวทัศน์ที่เริ่มเปลี่ยนจากที่ราบเป็นพื้นที่บนเขา มีต้นสนขึ้นประปราย ผ่านไร่ข้าวโพด ไร่ต้นหอม ผักต่างๆ สวยงามตลอดทางครับ

ปลูกพืชผักแบบขึ้นบันไดด้วยครับ

ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง จะผ่านหมู่บ้านชื่อ งาดิซาริ (Ngadisari) ครับ

ผ่านงาดิซาริต่อไปอีก ก็ยิงเป็นพื้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆครับ รถเริ่มวิ่งได้ช้าลง มีรถสวนมาจากอีกด้านเป็นระยะๆ

ยิ่งสูงก็ยิ่งหมอกลงจัดมากครับ

รวมเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ จากโพรโบลิงโก เราก็มาถึงโรงแรม Cemara Indah ที่เจโมโร่ ลาวัง ครับผม นี่คือโฉมหน้าโชว์เฟอร์ตีนผีที่พาเรามายังโรงแรมอย่างปลอดภัยครับ พนักงานโรงแรมใส่แจ๊กเก็ตที่ยืนอยู่ด้านหลังในภาพออกมาต้อนรับเราครับ ตอนเช็คอิน เขาถามว่ามีเสื้อหนาวมาหรือเปล่า เราบอกว่ามี มันขอดูแต่บอกว่าไม่หนาพอเพราะว่าหนาวมาก ทำซะใจเสีย มันเลยบอกว่ามีแจ๊กเก็ตให้เช่าตัวละ 25,000 Rp พวกเราเลยเอาคนละตัว ก็กลัวอ่ะ โดนขู่ซะขนาดนี้ บ้านไม่ได้อยู่ยุโรปซะหน่อยจะได้ไม่กลัวหนาว เสร็จแล้วพนักงานพาเราไปส่งที่ห้อง นัดเวลาออกจากโรงแรมพรุ่งนี้ตอนตี 4 ครับ เพื่อไปชมวิว เปอนันจากัน และโบรโม่ครับ
อีกมุมหนึ่งของโรงแรม เจมาร่า อินด๊ะ (Cemara Indah) ครับผม

ภายในห้องครับ บ่ายแก่ๆ อุณหภูมิประมาณ 15 องศา

ถ่ายหน้าห้อง Standard Room ที่พวกเราอยู่ครับ (แว้ก....โดนบังเละขโมยซีนอยู่เบื้องหลัง)

เก็บข้าวของเสร็จก็ออกมาเดินเล่นกันครับ ถ่ายรูปยอะมากๆ สวยๆๆๆ หมายถึงวิวนะ ไม่ใช่คน (คนก็สวยจ้า เดี๋ยวน้อยใจอีก)
มีเด็กหนุ่มมาขายอุปกรณืกันหนาวครับ เราเลยซื้อไว้ เป็นที่ระลึกด้วยครับ ป้าอ้อยได้ผ้าพันคอกับหมวก จ่ายไป 90,000 Rp ครับ หลวงไข่ บังเละ เมาะณี ได้หมวกกับถุงมือ ชุดละ 50,000 Rp ครับ

หลวงไข่กับป้ายชื่อโรงแรมครับ

เมาะณีในไร่ต้นหอม

พวกบ้ากล้อง ในแปลงผักเขาก็ยังดันทุรังเข้าไปถ่าย ต้องแอบถ่ายด้วย กลัวโดนเจ้าของแปลงผักผ่านมาเห็นแล้วจะโดนด่าวิวยามเย็นที่เรามองเห็นจากโรงแรมที่เราพักครับ ภูเขาบาเตาะ Gunung Batok แล้วก็ที่เห็นพ่นควันกำมะถันอยู่นั่นและครับ Gunung Bromo ที่เราจะไปปีนกันวันรุ่งขึ้นครับ

เดินไปบริเวณรอบๆ ใกล้โรงแรมกะจะหาอะไรกิน แต่ไม่มีร้านอาหารเลยครับ มีแต่ร้านค้าธรรมดา หิวแล้วก็เดินกลับไปกินที่โรงแรมครับ เมนูอาหารของโรงแรมครับ

จานนี้ของหลวงไข่เองครับ Nasi Ayam Goreng Lalapan ข้าวไก่ทอดใส่ราดพริก อร่อยอย่าบอกใครครับตอนหิวๆถึงแม้จะเป็นไก่ทอดธรรมดา แต่น้ำราดพริกลาลาปันนั้นอร่อยจริงๆ รสชาติเดียวกับดาบูดาบู ตอนไปกินที่สุลาเวสีเลยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น