วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันที่ 3 ขึ้นจุดชมวิว Penanjakan และ ชมปากปล่องภูเขาไฟ Bromo กลับเมืองสุราบายา

ตั้งนาฬิกาปลุกตื่นตอนตี 3 ไม่รู้สึกง่วงหรืองัวเงียเลยครับ เพราะพวกเรานอนกันตั้งแต่ 2 ทุ่ม อากาศก็เย็นสบายมาก นอนใส่แจ๊กเก็ตอุ่นจริงๆ แต่ทรมานตอนอาบน้ำที่ต้องรอสักพักหนึ่งกว่าน้ำร้อนจะออกมา พนักงานบอกพวกเราว่าตี 4 ออกจากโรงแรม ที่ไหนได้ ตอนตี 3:45 น. ก็ออกกันแล้ว ดีที่พวกเราตื่นกันก่อนเวลา มีรถจี๊ปรออยู่แล้วครับที่รีเซ็ปชั่น รถจี๊ปแต่ละคันนั่งได้ 6 คน พวกเรา 4 คนอีกสองคนเป็นฝรั่งผู้ชายชาวอังกฤษและแฟนเป็นชาวเกาหลี ขึ้นรถเสร็จก็ออกเดินทางจากโรงแรมทันที โชเฟอร์ของเราไม่พูดพร่ำทำเพลงเหยียบคันเร่งอย่างเดียวลัดเลาะไปตามถนน ผ่านที่ราบแล้วก็พื้นที่ภูเขา ไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อจะไปชมวิวที่ เปอนันจากัน พวกเราสนุกกันใหญ่ แต่หารู้ไม่ว่า เรากำลังจะเจออุปสรรค (อีกแล้วครับ) ขึ้นไปเกือบถึงที่จอดชมวิวอยู่แล้วเชียว รถดันมาเสียซะก่อน เลยต้องหยุดไปเช็คเครื่อง แล้วมาสตาร์ทใหม่ เครื่องติด ขับไปสักพัก ก็ดับต่อ เป็นอย่างนี้ประมาณ 5 ครั้งแล้วก็ดับสนิทครับ


ตาลุงคนขับพยายามเรียกรถจี๊ปคันอื่นให้จอดพาพวกเราไปด้วย แต่ไม่มีคันไหนจอดให้เลยครับ เพราะทุกคันแขกเต็มรถหมดเลย ลุงแกก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยบอกให้พวกเราเดินไปเองอีกประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ตอนนั้นฝนเริ่มลงเม็ดมาแล้ว คู่ฝรั่งกับเกาหลี ท่าทางหงุดหงิดเต็มทน เดินออกไปเรียกรถให้จอดได้คันหนึ่งเขาก็ได้ไปกันก่อน 2 คน ทิ้งเรา 4 คนให้คิดอยู่ว่าจะทำอย่างไร พวกเรายังไม่ตัดสินใจเดินไป ลุงโชเฟอร์บอกถ้าไม่เดินไปให้พวกเรารอในรถ แล้วแกก็เดินหายไปในความมืด บอกว่าเดี๋ยวเพื่อนแกจะมารับพวกเราไป เวลาเกือบตี 5 ฟ้าเริ่มสว่างแล้วครับ แต่ฝนยังตกลงมาไม่ขาดสายเลย รถเพื่อนของตาลุงโชเฟอร์ก็มารับพวกเรา 4 คนเพื่อขึ้นไปจุดชมวิวเปอนันจากัน จากจุดรถเสียมาถึงที่จอดรถล่างจุดชมวิว ระยะทางก็ไม่ถึงกิโลเลย ถ้ารู้ตั้งแต่แรก เดินมาก็หมดเรื่องแล้ว แต่มันมืด เรามองไม่เห็นทางเลยไม่กล้าเดินกัน อีกอย่างตาลุงพูดอังกฤษได้นิดเดียว คุยกันไม่รู้เรื่อง เลยไม่อธิบายว่าไม่ไกล พอพวกเราลงจากรถโชเฟอร์คันใหม่ก็บอกให้เราเดินขึ้นไปตามทางเดิน

เดินขึ้นไปตามทางเดินประมาณ 150 เมตร ก็จะเป็นศาลาและจุดชมวิวอย่างนี้แหละครับ

ป้าอ้อยในชุดเสื้อกันฝน และกันหนาว ก่อนถึงจุดชมวิวเปอนันจากันครับ

ป้าอ้อย บังเละ และหลวงไข่ที่จุดชมวิวเปอนันจากันครับ (เมาะณี ไม่ได้ขี้นมาเพราะเมารถอยู่ข้างล่างขึ้นมาไม่ไหว) วันที่เราไปฝนตกหนักก็เลยมีแต่หมอก มองไม่เห็นวิวเลยครับ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างก็ผิดหวังไปตามๆกัน แต่พวกเราไม่ผิดหวังครับ ยังคงยิ้มได้เสมอ แม้จะเจอเรื่องแย่ๆ



รู้สึกมาแล้วไม่คุ้มยังไงก็ไม่รู้ เราเลยซื้อ post card ที่สนามบินเป็นรูปที่จะเห็นตรงจุดชมวิวเปอนาจากันครับ ถ้าอากาศดีๆ หมอกไม่ลงจัดจะมองเห็นวิวแบบนี้ครับ เห็นภูเขาไฟโบรโม่ที่กำลังปล่อยควันกำมะถันลอยล่อง เห็นภูเขา Gunung Batok ที่อยู่ด้านหน้า เห็นเด่นชัด และเบื้อหลังสุดจะเป็น Gunung Semeru ครับ ไม่ได้รูปสวยๆกลับบ้านก็เอาโปสการ์ดแทนละกันครับ แก้ขัด (รู้สึกสงสารตัวเองยังไงก็ไม่รู้)


ชมวิว (ที่มองไม่เห็น) เสร็จแล้ว ทุกคนต่างก็เดินคอตก เดินลงไปลานจอดรถอย่างผิดหวังครับ


ก่อนลงไปลานจอดรถ บังเละขอถ่ายรูปกับประตูทางออกครับ (ที่เดียวกับทางเข้า แต่ถ่ายคนละด้านกัน)


เดินลงมาแล้วก็เดินหาตาลุง แกรอพวกเราอยู่แล้วครับ สักพัก คู่รักอังกฤษ-เกาหลี ก็เดินลงตามมาเหมือนกัน เราถามตาลุงว่ารถโอเคหรือยัง แกบอกว่า โอเคแล้ว (ไม่เชื่อหรอก) แล้วก็ขอถ่ายรูปแกกับรถ นี่คือโฉมหน้าของตาลุงและรถของแกครับ (หน้าตาโหดมาก) งวดหน้าซื้อ 550 นะครับ ถูกรางวัลที่ 1 แน่นอน อิๆๆ


พวกเราขึ้นรถ โอ้ว!!! ไม่อยากจะเชื่อ รถขับได้เป็นปปกติ ครับ แต่ขาลงจากจุดชมวิวเปอนันจากันเป็นทางลงภูเขาอย่างเดียวรถก็ไปได้เรื่อยๆ แต่พอเริ่มเป็นทางลาด รถแกก็ดับอีก เลยต้องวานให้รถคันหน้าช่วยลาก อย่างที่เห็นครับ เรากำลังจะเดินทางไปขึ้นปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่กันครับ


ตาลุงจอดรถให้พวกเราลงที่ลานจอด มีม้าและเจ้าของม้ารี่เข้ามาหาพวกเราเลยครับ ราคาขี่ม้าเที่ยวเดียว จากลายจอดรถไปฐานด้านล่างของภูเขาไฟโบรโม่50,000 Rp ครับ ไปกลับก็ไม่ลดให้ครับ 100,000 Rp ในกรุ๊ปเรามีเมาะณีคนเดียวที่จองขี่ไปกลับ จ่าย 100,000 Rp อีกสามคนเอาแค่เที่ยวเดียวครับ เพราะว่ามันไม่ไกล แต่อยากลองขี่ม้าเฉยๆ (เคล็ดลับอย่างหนึ่งครับ ถ้าอยากนั่งไปกลับ ให้จ่ายแค่เที่ยวเดียวครับ ขากลับมีม้ารอด้านล่างเต็มเลยครับ แถมลดราคาให้เหลือแค่ 30,000 Rp เมาะณี รู้เข้าถึงกับบ่นไป 8 ชั่วโมงว่า รู้งี้จ่ายเที่ยวเดียวก่อนดีกว่า เพราะจ่ายไปแสนรูเปียห์เรียบร้อยแล้ว)


ขออนุญาตเอาภาพตัวเองลงนะครับ เพราะไม่มีรูปวิวเฉยๆ รูปนี้ขี่ม้าครั้งแรกในชีวิตเลยนะครับเนี่ย ได้ยินเสียงเมาะณี กรี๊ดกร๊าดอยู่ข้างๆเพราะขึ้นม้าไม่ได้ซะที คนอื่นเขาขึ้นกันหมดแล้ว


ขี่ม้าประมาณ 10 นาทีก็มาถึงฐานด้านล่างของภูเขาไฟโบ่โม่ครับ ลงจากม้าแล้วก็ต้องเดินขึ้นบันได เบื้องหลังของภาพนี้ไป ประมาณ 200 กว่าขั้นครับ


จากจุดที่เราลงจากม้า ตรงด้านล่างของภูเขาไฟโบรโม่ มองย้อนลงไปเบื้องล่างจะเห็นวิววัดฮินดูที่เราขี่ม้าผ่านมา (แต่ไม่ได้ถ่ายรูปเพราะขี่ม้าอยู่ต้องจับบังเหียน ไม่งั้นทรงตัวไม่อยู่ ฝนก็ตกด้วยกลัวน้ำเข้าเลนส์) และจุดที่รถจี๊ปจอดอยู่ลิบๆ


ต้องเดินขึ้นขึ้นไปทางบันไดนี้แหลละครับ มีแบ่งแยกซ้ายขวา สำหรับขึ้นและลง ขึ้นช่วงแรกๆสนุกดีครับ สูงๆชักจะเหนื่อย ได้ยินเสียงตัวเองหอบดังมาก

กว่าจะถึงข้างบน ชีวาแทบจะวางวาย ขาสั่นพั่บๆ (เฮ้อ... ก่อนมาแทนที่จะออกกำลังกายซะหน่อย ไม่ยอมทำ สมน้ำหน้า ปวดขาไปอีกแปดวัน) พอขึ้นมาข้างบนก็จะถึงปากปล่องภูเขาไฟเลยครับ มีแผงกั้นแบบนี้กันคนตกลงไปในปากปล่อง แต่อีกด้านนี่สิ ไม่มีอะไรกั้น มองแล้วหวาดเสียวจริงๆ ด้านที่ไม่กั้น ตกลงไปไม่สุกแต่แขนขาคงหักอ่ะครับ ป้าอ้อยขึ้นมาเห็นแบบนี้ก็ถอยกลับครับ ขาสั่นไม่กล้าเดิน กลัวลื่นตกลงไป ส่นเมาะณี รออยู่ด้านล่างตามระเบียบพักครับ


ข้างบนนี้มีชาวบ้านเอาช่อดอกไม้ขึ้นมาขายด้วย บอกให้เราโยนดอกไม้ลงในปากปล่องภูเขาไฟเพื่อบูชาเทพเจ้าอะไรสักอย่าง แต่เราไม่เอาครับ ถ่ายรูปอย่างเดียว


จากปากปล่องด้านบน มองลงเบื้องล่างของโบรโม่ก็จะเห็นควันกำมะถันลอยล่องขึ้นมาให้ราสำลักเล่น (ใครไปเที่ยวอย่าลืมเอาผ้าปิดปากปิดจมูกไปด้วยครับ สำลักจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น) พวกเราไม่มีใครเตรียมไปเลยสำลักกันตั้งนานก็จะหาย
ปากปล่องภูเขาไฟโบรโ (แถมอีกรูปครับ ไหนๆก็อัพโหลดขึ้นมาแล้ว) พอลมพัดก็พอจะเห็นเบื้องล่างบ้าง

สำลักควันกำมะถันกันจนพอควรแล้วก็เดินลงบันไดกลับไปข้างล่างเช่นเดิมครับ

วิวจากข้างบนมองลงมาด้านล่างครับ


ระหว่างทางไม่มีร้านขายของเลยนะครับ ตอนแรกคิดว่าน่าจะมีที่ขายของที่ระลึกบ้างแต่ไม่มีเลยครับ มีแต่เพิงขายน้ำดื่มอยู่เพิงเดียวจริงๆ ตามรูปครับ

ตอนเดินกลับก็แวะถ่ายรูปวัดฮินดูก่อน เป็นวัดสไตล์บาหลีครับ

กำลังเดินกลับไปยังที่จอดรถจี๊ปและม้าครับ

รถตัวเองเสียครับ เลยต้องไปถ่ายรูปกับรถคนอื่นเขา แล้วก็ขับรถกลับโรงแรมครับ

มาถึงโรงแรมฝนหยุดตกครบ โธ่เว้ย! แกล้งกันชัดๆเลยฝนนี้ วิวนี้ถ่ายหน้าโรงแรมอีกรอบครับ มองเห็นภูเขา Batok อยู่เบื้องหลังครับ
แถมให้อีกรูปตอนฟ้าเปิดแล้วครับ บอกตามตรงว่าเสียอารมณ์สุดๆ เบื่อน้องฝนแล้วหล่ะ

อีกด้านที่เป็นจุดชมวิวเปอนันจากันครับ

หลวงไข่กับฉากหลัง Gunung Penanjakan ครับ
ป้าอ้อยกับ บาต็อกและโบรโม่ครับ

แถมบาต็อกกับโบรโม่อีกรูปครับ อ้าว!! รูปนี้ไม่เห็นโบรโม่ครับ เห็นแต่บาต็อก

เมาะณี ถ่ายกับภูเขาไฟโบรโม่และบาต็อกครับ
บ้านของชาวบ้านที่ Cemoro Lawang ตรงข้ามโรงแรมเราครับ


ทานข้าวเช้าที่โรงแรม (อร่อยมาก เป็นบุ๊ฟเฟ่ต์ครับ) เสร็จก็เช็คเอาท์ มีรถมารับกลับตอน 8:30 น. ครับ แต่ต้อง join รถกับฝรั่ง รวมเราด้วย 17 ชีวิตครับ เบียดกันอย่างกะปลากระป๋อง มีเก้าอี้เสริมเด็กอนุบาบาลอีก ดี่ที่เราขึ้นก่อนได้นั่งเบาะธรรมดา นั่งมาประมาณ 2 ชั่วโมงเหมือนเดิมก็ถึงโพรโบลิงโก รถก็มาจอดที่บริษัทMahkota บริษัทที่ร่วมมือกับรถบัสหลอกชาวบ้านนี่แหละครับ ฝรั่งโดนหลอกกันเยอะครับ มาที่นี่ทั้งนั้น รายได้ดีจริงๆ กับการหลอกชาวบ้านกิน ที่จริงเขาไม่หลอกหรอกครับ เพียงแต่ไม่ชอบที่เขาทำกันแบบนี้ กินค่าหัวคิวกันเป็นทอดๆ พวกเราไม่ลงครับ เกลียดขี้หน้าเจ้าของบริษัทที่ยืนเท้าสะเอว หันหน้าไปทางซ้ายในรูปนะครับ เราบอกให้คนขับพาเราไปสถานีรถไฟโพรโบลิงโกครับ ตามที่ตกลงไว้กับเจ้าของบริษัทเมื่อวาน

อีก 10 นาทีเราก็ถึงหน้าสถานีรถไฟโพรโบลิงโกครับ

หลวงไข่กับป้าอ้อยกำลังจัดการซื้อตั๋วอยู่ครับ ได้เป็นรถไฟชั้นสาม economy ราคาคนละ 17,000 Rp 4 คนก็ 68,000 Rpครับ (คนละ 68 บาท)

หน้าตาของตั๋วจะเป็นแบบนี้ครับ ขบวนรถไฟ 166 ชื่อ Sritanjung เวลาออกจากโพรโบลิงโก 10:59 น.ถึงสุราบายา 13:02 น.


พนักขายตั๋วรถไฟวัยละอ่อนหน้าตาดี หล่อด้วย พูดอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ ป้าอ้อยเธออดไม่ได้ ขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระทึกครับ แต่แฟลตสะท้อนกระจกซะเหลือเกิน

ซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็เข้ามาในบริเวณชานชลาครับ

หลวงไข่กับเมาะณี ที่ชานชลาสถานีรถไฟโพรโบลิงโกครับ


รถไฟมาก็ขึ้นครับ ในตั๋วอีโคโนมี่จะไม่ระบุหมายเลขที่นั่งครับ นั่งตรงไหนก็ได้ ขึ้นไปกลางๆขบวนไม่มีที่นั่งว่างเลยครับ โดนคนอินโดมองเป็นสายตาเดียวกันเลย แบบแปลกๆ ว่าเรามาจากไหนกัน ข้าวของพะรุงพะรัง แถมคนอินโดสูบบุหรี่กันบนรถไฟเป็นว่าเล่น ควันโขมงโฉงเฉงไปหมดเลย พวกเราเลยเดินไปท้ายๆขบวนก็มีที่นั่งข้างเด็กหนุ่มคนนี้ครับ หน้าตาเป็นมิตรดี คุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างครบ เมาะณีเป็นล่ามตามเคย ไม่เข้าใจเลยคนประเทศนี้ทำไมคุยอังกฤษกันแทบไม่ได้เลย ไม่ว่าเกาะไหนๆ


อีกฟากหนึ่งหลวงไข่กับป้าอ้อยก็นั่งกับพี่อีกคนหนึ่ง คนนี้ก็คุยอังกฤษไม่ได้เลยเช่นกัน แต่พยายามชวนคุยมากๆๆๆๆๆๆ
ประมาณบ่ายโมงเราก็มาถึงสถานี Gubeng ที่สุราบายาครับ เดินออกมาข้างนอก เดินหาโรงแรมถูกๆ ใกล้สถานีรถไฟกูเบิงที่แนะนำโดยโลนลี่แพลนเน็ตครับ โรงแรม Kenongo อยู่ที่ถนน Jalan Embong Kenongo เดิน 10 นาทีจากสถานีรถไฟครับ


ด้านหน้าของโรงแรมครับผม คืนละ 230,000 Rp (ประมาณ 920 บาท) ต่อห้อง เหลือแต่เตียง Double ถ้าเตียง Twin จะแพงกว่านี้ก็เลยนอนเตียง Double กันครับ ราคานี้รวมอาหารเช้าพวกขนมปัง แยม ชากาแฟแค่นั้นครับ เราต้องออกเดินทางไปย็อกยาการ์ตาวันรุ่งขึ้น เขาบอกว่าทานอาหารเช้า 6โมงก็ได้ ปกติเริ่มอาหารเช้า 6:30 น.

ห้องนอนของโรงแรมนี้ครับ สะอาดดีครับ ราคาก็ไม่ถือว่าสูงมาก

เก็บข้าวของ อาบน้ำเสร็จก็ออกมาเดินเล่นกันข้างนอกครับ เจอรถเข็นขายลูกชิ้น


สอบถามเขาบอกว่าเนื้อ Sapi ก็คือเนื้อวัวครับ บังเละกินคนเดียว บอกว่าอร่อยมากๆ หลวงไข่เข็ดแล้วครับ เจอลูกชิ้นเนื้อควายตอนไปเที่ยวสุลาเวสี กลัวจริงๆ แล้วก็เจอร้านตามสั่งอยู่เยื้องๆกับโรงแรม สั่งข้าวผัด Nasi Goreng Ayam เมนูเดิมๆ เพราะสั่งอย่างอื่นไม่เป็นเลย แต่พวกเราชอบกินเพราะมันอร่อย

กินข้าวเสร็จเดินออกจากซอยเลี้ยวขวามาตาถนน เดินมาเจอสี่แยกน้ำพุ แล้วก็เลี้ยวขวาไป Plaza Surabaya ครับเป็นห้างใหญ่ประมาณเดอะมอลล์บางกะปิบ้านเราครับ

ด้านหน้า Plaza Surabaya ครับ มีรูปปั้นร่ายรำ อะไรก็ไม่รู้ น่าจะเกี่ยวกับเรื่องรามายณะเหมือนกันครับ เที่ยวห้างชมข้างในก็ไม่ค่อยมีอะไรมากเหมือนห้างทั่วๆไปครับ


แล้วก็เดินต่อไปพิพิธภัณฑ์เรือดำน้ำครับอยู่ไม่ไกลกันเลยกับ Plaza Surabaya เขาเอาเรือดำน้ำปลดประจำการมาแสดงให้คนดู ตอนเราเดินมาจากสถานีรถไฟก็ผ่าน ค่าตั๋ว 7,000 Rp ปิด 4 ทุ่ม แต่พอเรามาตอนกลางคืนค่าตั๋วเหลือ 5,000 Rp ครับ

ป้ายบอกว่าเรือดำน้ำนี้มาวางอยู่ตรงนี้เมือมิถุนายน ปี 1998
เข้ามาข้างในเรือดำน้ำ ลำใหญ่มาก จะมีแยกเป็นห้องๆ แต่ละห้องจะเชื่อมกันด้วยประตูกลมๆแบนี้แหละครับ

เครื่องยนต์กลไกเยอะสุดๆครับ เห็นแล้วปวดหัว เลยออกมาข้างนอกเดินกลับโรงแรมกันดีกว่า

เดินขึ้นสะพานลอยตรงหน้า Plaza Surabaya มาอีกฟากถนน ดูรถวิ่งไปมา


หน้า Plaza Surabaya ยามค่ำคืนครับ มี KFC ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น